ข้อควรรู้ก่อนนำแมวและเด็กมาอยู่ร่วมกัน

หลายคนอาจจะอยู่ในเวลาที่คิดไม่ตกถึงความปลอยภัยและอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อต้องเลี้ยงเด็กและแมวอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน บางคนอาจจะเลี้ยงแมวมาก่อนอยู่แล้วขณะที่กำลังตั้งครรถ์ หรือบางคนก็อาจจะมีเด็กวัยกำลังเรียนรู้และคิดที่จะหาสัตว์เลี้ยงมาอยู่เป็นสมาชิกในบ้านเพิ่ม การให้แมวและเด็กอยู่ด้วยกันมีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็มีสิ่งที่ควรระวังหลายข้ออยู่เช่นกันครับ

ข้อควรรู้ก่อนนำแมวและเด็กมาอยู่ร่วมกัน

ข้อดีของการนำแมวและเด็กมาอยู่ร่วมกัน

  • เสียงร้องและการเคลื่อนไหวของสัตว์เลี้ยง จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาทักษะในการมองเห็นและการฟังเสียงของเด็กได้เป็นอย่างดี
  • เด็กเล็กที่ใช้ชีวิตอยู่กับสัคว์เลี้ยงตั้งแต่เล็ก จะมีแนวโน้มที่จะพัฒนาภูมิคุ้มกันเชื้อโรคได้มากกว่า และมีโอกาสเกิดเป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากสัตว์ได้น้อยกว่า
  • เด็กจะมีแนวโน้มที่จะมีจิตใจอ่อนโยนและกล้าแสดงออกมากขึ้น
  • การมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน จะช่วยในการพัฒนาสมอง การเข้าสังคม และเพิ่มความมั่นใจของทั้งเด็กและสัตว์เลี้ยง

ความเชื่อเกี่ยวกับแมวและเด็ก และการป้องกัน

ทุกวันนี้มีปัญหาที่ถูกถามและสงสัยกันมากมายเวลาที่เราจะนำเด็กและแมวมาอยู่ด้วยกัน 
และหลายๆครั้งเพื่อนๆก็อาจจะเข้าใจผิดไปหรืออาจจะหาคำตอบไม่ได้จนกระทั่ง
ต้องยอมสละแมวไปให้บ้านอื่นเพื่อเตรียมตัวในการมีลูกหรือเลี้ยงเด็กในบ้าน 
(นี่ก็เป็นสาเหตุหลักหนึ่งของปัญหาสุนัขและแมวจรจัดในประเทศไทยครับ) 
ด้านล่างนี้เป็นความเชื่อที่เราได้รวบรวมไว้และหาความจริงและวิธีแก้ปัญหาให้ได้อ่านกันค่ะ
เชื้อพยาธิที่มีชื่อว่า Toxoplasma ซึ่งพบมากในแมว มีโอกาสสูงที่จะติดต่อสู่ผู้หญิงตั้งครรถ์และทำให้เกิดการแท้ง

ความเชื่อที่ 1

ก่อนหน้านี้มีการแนะนำกันอย่างมากว่า ห้ามเลี้ยงแมวในบ้านที่มีหญิงตั้งครรถ์ก็เพราะสาเหตุนี้ จริงอยู่ที่แมวเป็นสัตว์ยอดนิยมที่พยาธิ Toxoplasma อาศัยอยู่ แต่การติดต่อของพยาธิไม่ได้ง่ายเหมือนกับการติดต่อทางอากาศหรือสัมผัสทางผิวหนังอย่างเช่นไวรัสทั่วไป พยาธิ Toxoplasma จะติดต่อไปสู่แมวเมื่อแมวกินเนื้อดิบหรือสัตว์เล็กที่มีพยาธินี้อยู่ ในบางโอกาสพยาธิบางตัวที่อาศัยอยู่ในดินจะชอนไชผ่านผิวหนังของแมวหากแมวยืน นั่งหรือนอนอยู่บนดินบริเวณนั้นนานๆ

ข้อควรรู้ก่อนนำแมวและเด็กมาอยู่ร่วมกัน

การที่พยาธิจะสามารถติดต่อมาสู่คนได้ก็มีอยู่ทางเดียวคือทางปาก ซึ่งเมื่อดูจากชีวิตประจำวันแล้ว ก็มีโอกาสใหญ่ๆอยู่สองกรณีครับ คือการที่คนใช้มือสัมผัสอุจจาระของแมวแล้วมาสัมผัสอาหารเข้าปากอีกที และการที่แมวที่มีพยาธิติดอยู่ตามตัว (อาจไปเดินเล่นนอกบ้านมา) แล้วสัมผัสกับอาหารที่เราจะกินโดยไม่ผ่านการล้างหรือปรุงสุก ดังนั้นวิธีป้องกันพยาธิก็คือ การจำกัดพื้นที่แมวไม่ให้เข้ามาในบริเวณอาหาร ปรุงอาหารให้สุก และล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนทาน ล้างมือให้สะอาดหลังสัมผัสแมว หลีกเลี้ยงไม่ให้หญิงตั้งครรถ์ทำความสะอาดห้องน้ำ ทรายแมว แต่หากมีความจำเป็นต้องทำจริงๆ ควรใส่ถุงมือและล้างมือให้สะอาดหลังเสร็จกิจครับ

แมวจะเกิดอารมณ์อิจฉาและทำร้ายเด็กในขณะที่เราเผลอ

ความเชื่อที่ 2


แมวส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันหรือรุกล้ำอาณาเขตของเค้า การย้ายเด็กทารกเข้ามาในบ้าน ทำให้มีการเปลี่ยนที่ และโยกย้ายเฟอนิเจอร์ในบ้านครั้งใหญ่ และก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กทารกจะกลายเป็นจุดสนใจที่สุดในบ้าน…แทนที่แมวตัวเดิมในบ้าน แมวที่มีความเครียดเกิดขึ้นก็จะมีพฤติกรรมที่ดีและไม่ดีเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม แมวจะไม่ทำร้ายเด็กหากไม่จำเป็นจริงๆ พยายามเฝ้าดูและชมเชยให้รางวัลกับพฤติกรรมที่ดีของเค้า แต่ไม่ควรทำโทษแมวเมื่อแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดี เพราะว่าเค้าจะยิ่งเกิดความเครียดมากขึ้นไปอีก

แค่เราแยกห้องระหว่างเด็กและแมวก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ความเชื่อที่ 3


แมวและสุนัขมีความสามารถในการฟังและรับกลิ่นดีกว่าคนมาก ดังนั้นการแยกห้องอาศัยระหว่างแมวและเด็กอาจจะไม่เพียงพอ เด็กทารกจะออกเสียงร้องดังและไม่เป็นที่คุ้นเคยมากสำหรับแมวไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะหรือร้องให้ เราสามารถเตรียมตัวให้เค้าคุ้นชินก่อนที่จะถึงเวลานำเด็กเข้ามาในบ้านได้โดยการเปิดเสียงเด็กให้เค้าได้ฟังบ่อยๆ เริ่มจากเสียงค่อยๆเบาๆก่อนแล้วค่อยๆเร่งเสียงไปเรื่อยๆ

กลิ่มก็เช่นเดียวกันครับ เพื่อนๆควรจะใช้แป้งและโลชั่นของเด็กกับตัวเองซะเลยก่อนเพื่อให้แมวได้ชินกับกลิ่น อีกอย่างนึงคือนำผ้าคลุม หรือผ้าห่มที่ใช้กับเด็กตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลกลับบ้านมาให้น้องแมวดมบ่อยๆ

ข้อควรรู้ก่อนนำแมวและเด็กมาอยู่ร่วมกัน

ข้อควรระวังอื่นๆในการเลี้ยงแมวและเด็กด้วยกัน

  • สอนให้เด็กเรียนรู้อารมณ์ของน้องแมว แมวที่อยู่ในอารมณืเล่นด้วยได้เค้าเอาหน้า ลำตัวถูกกับมือและเสื้อผ้า หางยกสูงบิดงอตรงปลาย และส่งเสียงคราง อาหารเช่นการกดหางลงมาต่ำ งอหูไปทางด้านหลัง หรือ กางเล็บเป็นสัญญาณบอกว่าเค้าอารมณ์ไม่ดี
  • สอนเด็กให้หลีกเลี่ยงการเล่นกับแมวรุนแรงเกินไปหรือสัมผัสในส่วนที่ไม่ควรเช่น ดึงหาง จับอุ้งเท้า
  • สอนเด็กอุ้มแมวให้ถูกวิธี คือ ให้สองมือช้อนใต้ขาหน้าแมวทั้งสองข้าง ยกเค้าจนตัวลอยเท้าหลังแตะพื้น แขนข้างหนึ่งโอบลำตัวใต้ขาหน้า อีกข้างนึงประคองบริเวณขาหลัง หมุนน้องแมวให้หันไปทางด้านหลังและพาดไปกับบ่าของเรา
  • ในเวลาที่แมวซ่อนตัวในที่ส่วนตัว หรืออยู่ในที่สูง เด็กไม่ควรไปรบกวนหรือไปบังคับให้เค้าออกมาเล่นด้วย ให้เวลาและพื้นที่ส่วนตัวกับน้องแมว